เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2565 เวลาประมาณ 20.50 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.วรเชษฐ สกิจกัน รองผู้กำกับปราบปราม สภ. เขลางค์นคร พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวนเข้าไปตรวจสอบ หลังรับแจ้ง เกิดเหตุชิงทรัพย์ในเขตพื้นที่ถนนลำปาง-แม่ทะ บ้านกล้วยแพะ หมู่ 2 ต.กล้วยแพะ อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง ก่อนถึงทางเข้าบ้านจว้าก ใกล้โรงงานปาเก้
โดยจุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบผู้เสียหาย เป็น ชาย 1 คนและหญิง 1 คน โดยฝ่ายชาย คือนายอนุภพ อายุ 33 ปี ชาว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง และหญิงวัย 30 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มี เหตุคนร้ายเข้ามาก่อเหตุ ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบ แล้วเข้ามาชิงทรัพย์เป็นเงินสดจำนวนประมาณ 400,000 บาท
โดย 2 ผู้เสียหายทั้งหญิงและชายคนดังกล่าว ให้การกับตำรวจว่า ระหว่างขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ Honda Wave สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียนขจจ 884 ลำปาง อยู่ดีๆ ก็ได้ถูกคนร้ายขับขี่รถมาตามประกบ แล้วใช้เท้าถีบรถมอเตอร์ไซค์ที่ตนเองขับมาพร้อมกับแฟนสาว โดยคนร้ายขับมาแล้วถีบรถจยย. ของตนเอง ล้มลงแล้ว จากนั้นคนร้ายได้ชิงเงินกว่า 4 แสนบาทของตนทั้งสองไป ซึ่งเป็นเงินสดที่ตนเองได้เบิกมาจากธนาคาร เพื่อจะนำไปจ่ายค่าการซื้อขายที่ดินให้ญาติ หลังจากนั้นคนร้ายก็ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ซึ่งหลังเกิดเหตุแล้วตำรวจได้สอบปากคำและตรวจสอบ โดยเบื้องต้นพบทั้งสองคนมีพิรุธหลายอย่าง ประเด็นแรก ตำรวจไม่พบร่องรอยความเสียหายของรถและไม่พบบาดแผลของผู้เสียหายทั้ง 2 คน จึงสอบปากคำทั้ง 2 คน โดยมีการสอบแยกห้องกัน ก็พบว่าตอบคำถามไม่ตรงกัน และพบพิรุธอีกหลายอย่าง ตำรวจจึงได้เกิดความสงสัยแล้วว่าอาจจะกุเรื่องขึ้นมา โดยเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำนานกว่า 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น ผู้เสียหายทั้ง 2 คนก็ ค่อยๆ ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เล่ามานั้น เป็นเหตุการณ์ที่กุเรื่องขึ้นมาทั้งหมด
และล่าสุดเวลา 01.30 น. โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พ.ต.ท.วรเชษฐ สกิจกัน รองผู้กำกับปราบปราม สภ.เขลางค์นคร เปิดเผยให้สัมภาษณ์ว่าทางตำรวจชุดสืบสวน ได้สอบปากคำทั้งสองคนก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ผู้ต้องหากุเรื่องขึ้นมา เนื่องจากตนขายที่ดินได้ เพื่อต้องการนำเงินที่ขายที่ดิน ที่บ้านบางส่วน ไปใช้ส่วนตัวและกลัวทางบ้านจะรู้ว่านำเงินไปใช้ส่วนตัว จึงได้กุเรื่องขึ้นมา หลังจากสอบปากคำเสร็จแล้วตำรวจก็ได้คุมตัวทั้งสองคนและทางจนท.ตำรวจ สภ.เขลางค์นคร ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งสองคน ในข้อหา “แจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการฯ” ก่อนจะคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขลางค์นครและนำตัวส่งฟ้องศาลต่อไป.